วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรไรร่อนร้อง : หวังจะมีสักวันเธอหันมา

๏ นาฏะอักษรานี้พี่ให้เจ้า
ทุกค่ำเช้าครุ่นจิตพิสมัย
เพียรแรมร่อนจรเร่ระเหไป
ควะคว้างในครุวรรณสีทันดร

๏ หวังกอบเก็บเก็จวลีมาพลีให้
แทนดอกไม้ลัดดามาลย์หมั้นสมร
ทุกเช้าค่ำร่ำเร่คเนจร
เพียงอักษรพจนามาจำนรรจ์

๏ แม้นหมายมั่นฉันจิตพิศวาส
อย่านิราศอย่างเคยเลยจอมขวัญ
ไม่เห็นนิดคิดค้อนเป็นค่อนวัน
กระไรกันกรรมหลากหนอยากนาน

๏ แม้นคนดีมีใจให้สักนิด
หมายปลงจิตปรานีไมตรีสมาน
ตอบสาส์นเถิดโปรดเห็นว่าเป็นทาน
อย่าได้รานรักเราให้เศร้าคอย

๏ ณ ราตรีไร้จันทร์นั้นมืดมิด
เหงาเดือนคิดเหน็บหนาวดื่นดาวหงอย
มองดาวคว้างร้างเลือนมาเลื่อนลอย
ใจก็พลอยลอยคว้างเหมือนอย่างดาว

๏ ระยิบยับจับดวงเป็นพวงแก้ว
ระดะแพรวพร่างดวงในห้วงหาว
งามใดเลยเปรียบถึงสักครึ่งคราว
มิอาจกล่าวออกความพองามชม

๏ แต่ยามไร้คู่เรียงมาเคียงใกล้
ต่อให้งามอย่างไรไม่งามสม
ฝากถ้อยคำนำไปด้วยสายลม
มิอาจข่มขื่นตาชมราตรี

๏ จึงขอจบเจียรสาส์นจำนรรจ์สรร
ด้วยอกหวั่นหวิวไหวในวิถี
ทุกเช้าค่ำร่ำรสบทกวี
หวังจะมีสักวันเธอหันมา ฯ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรไรร่อนร้อง : ขอรักคืนมา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขอ เรื่องหลังยังอยู่ไม่รู้ล่วง
ขอ ลมลวงพัดเลยระเหยหาย
ขอ หอมอวลอักษรามาโชยชาย
ขอ แมกไม้มิตรภาพอาบใจจำ
รัก ไมตรีมิจางอย่างวันเก่า
รัก เรื่องราวหลากถ้วนล้วนยวนขำ
รัก ถักสานถากรอยนั่งร้อยคำ
รัก เรียงร่ายเริงร่ำระบำความ
คืน ค่ำนี้เดือนมืดมาชืดช้ำ
คืน เยือนย้ำย่ำใจให้เข็ดขาม
คืน เงียบเหงาเศร้าอยู่ทุกครู่ยาม
คืน เคลื่อนข้ามท่ามไหวในเอกา
มา จำเรียงเพียงถ้อยละห้อยหวน
มา เคียงครวญว่าใจอาลัยหา
มา เป็นขวัญมั่นรักอักษรา
เถอะ มาร้อยรจนาลัดดาบรรณ ฯ

ภาพ : อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต

ขอรักจงอยู่

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขวัญเรือน

๏ กรุ่นสายลมหอบรักจากรวงข้าว
ยังกรุ่นกราวราวกลิ่นรินรินหวน
คะนึงเย้าหยอกยิ้มเจ้านิ่มนวล
ชะม้อยชวนชายตามาเอียงอาย

๏ หอมเจ้าเอย..ฟอนฟางรางรางหอม
ยังแย้มย้อมเหลืองแสดริ้วแดดสาย
ชะน้ำค้างร้างรอก็เรียงราย
ชวนชะม้ายคล้ายรับการกลับมา

๏ ใช่จะลืมทิวตาลผ่านชายทุ่ง
ลืมโค้งคุ้งลำคลองเคยล่องหา
คราบความหลังยังค้างบนคันนา
จะเลือนลาละจางได้อย่างไร

๏ ไผ่สีสุกเสียดกอล้อลมหนาว
ขลุ่ยฟางข้าวเคล้าตาลมาหวานไหว
หนาวเจ้าเอยหนาวนักจนยากใจ
จะเหลียวไหนก็น่าน้ำตาคลอ

๏ ระงมหริ่งเรไรครวญชวนวิโยค
พญาโศกคร่ำว่าพะงาหนอ
ในเพลงขลุ่ยเคยเฝ้าพะเน้าพะนอ
จะรวนล้อก็เพียงพิไลภิรมย์

๏ รวงรังผึ้งแรมจันทร์มาพลันร้าง
ในอ้างว้างรสหวานก็พานขม
ริ้วใบไผ่ร่วงรายในสายลม
จะเพลินชมก็ชวนพิลาปพิราม

๏ เสียงขลุ่ยครวญหวนคลอคืนกอไผ่
เก็บหัวใจเจ็บล้าในป่าหนาม
เก็บซากฝันฟันฝ่าพยายาม
ที่ติดตามระหกระเหินเดินทางไกล

๏ กลับคืน..ลำเนารักแนบตักอุ่น
มานอนหนุนอักขราระย้าไหว
แอบอกอ้อนอิงกรุ่นในอุ่นไอ
จะหลับไปด้วยอวลหอมในอ้อมกาย

๏ จะร้อยรักร่วมเรือนวธุรส
ไม่มีหมดจนกว่าชีวาสลาย
กว่าเดือนดับลับหล้าฟ้าทลาย
มั่นเรือนตายหมายเคียงเพียงเจ้าเอย ฯ

ภาพ : อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต

Technorati Tags:

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรไรร่อนร้อง : ปางพี่รักเจ้า


๏ ปางพี่รักเจ้าเฝ้าทวนเทวษถวิล
เหมือนสายธารน้ำใสเรื่อยไหลริน
รักแก่งหินเกินกาลจะราญลง
เหมือนปรอยฝนหล่นปลิวเป็นริ้วม่าน
รักแมกไม้ลดามาลย์ปานลุ่มหลง
หมู่เมฆขาวเคียงกันยังมั่นคง
รักท้องฟ้าธำรงมิเลือนเลย
คณนากว่าประเมินก็เกินนับ
จะขานรับก็ขาดคำร่ำเฉลย
จนถ้อยนักสุดจักหามาเปรียบเปรย
อย่าเฉยเมยมองหมางเหมือนอย่างเมิน
หากบินได้ดังวิหกที่ผกผิน
ก็จะบินดุจนกวิหกเหิร
พาเจ้าร่อนลมไปพักใจเพลิน
ล่วงดำเนินแดนด้าวดาวดึงส์
นี่เพียงกายหมายมาดก็ขาดสิ้น
แค่ลมลิ้นฤาคลายจิตความคิดถึง
เพียงสองขาสาใจให้คนึง
ลุ่มรักรึงร้อนทรวงรุมห้วงใจ
ต่อแต่นี้คงจมทุกข์เทวษ
อาณาเขตเนตรฤดีอยู่ที่ไหน
โปรดสำแดงให้เห็นหน่อยเป็นไร
ให้พี่ได้ก้าวไปในดวงตา
ห่างเหลือเกินระยะทางมาขวางกั้น
จักหมายมั่นมุ่งจิตคิดไปหา
ห่างเพียงกายทุรกรรมหานำพา
หวังเพียงว่าสองใจมิไกลกัน
วิบากกรรมชาติก่อนคงเคยพราก
แกล้งหมู่สัตว์มามากหลากอาถรรพ์
แยกลูกห่างอกแม่รังแกมัน
จึงถูกทัณฑ์ทรมานในวันนี้
แม้นดวงใจหาไม่อาลัยรัก
ด้อยค่านักเฉกเดนคิดเบนหนี
เบื่อคำหยาบสาบพจน์บทกวี
โปรดขยี้เข่นขย่ำให้หนำมือ
สุดแต่ใจคนดีปราณีรัก
หมายสมัครจักสมานให้นานหรือ
ตัดเยื่อใยต่อกันบั่นคามือ
ไม่ดึงดื้อแม้คำใจจำนน 
ก็จะไปตามประสาคนอาภัพ
เต็มใจรับชะตากรรมซ้ำกี่หน
ร่างกายคงกรำการด้วยทานทน
ใจทุรนคงตายแล้วแก้วตาเอย ฯ
Technorati Tags:

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บนทางดิน..ผีเสื้อ..ดอกไม้..และสายหมอก

๏ บนทางเดินทอดยาวของเช้าตรู่
หมอกขาวดูอ้อยอิ่งอิงปลายไม้
ผีเสื้อโบยบินรับกับลมไกว
รั้วไม้ไผ่ข้างทางยังรางเลือน

เย็นหนอเย็น..เย็นรื่นชื่นใจนัก
เย็นลมรักเรื่อยมาหาใดเหมือน
เบญจมาศหมายกิ่งเจ้าอิงเบือน
ล้อหยอกเยือนยักเยื้องดาวเรืองราย

เจ้าเดินย่ำจ้ำไปในสายหมอก
ทัดดาวเรืองเหลืองดอกรับหมอกสาย
เงาผมยังแย้มเย้าเลื่อมเงาพราย
ริ้วตะวันฉันฉายระบายฟ้า

ผีเสื้อหลากสีรำระบำร่าย
บินยักย้ายส่ายสอดลอดกอหญ้า
ล้อกิ่งลมเกวไหวอยู่ไปมา
เคล้าหอมแก้วกรรณิการ์มาเลือนราง

บนทางเดินทอดยาวยังเช้าตรู่
ย่อมงามอยู่เรื่อยไปในหมอกสาง
จะคอยเฝ้าข้างกายไม่วายวาง
ชมเจ้าเพลินเดินย่างในพรางไพร

ครั้นสายแดดแผดเพลิงเริงเปลวร้อน
จงพักก่อนผ่อนผ่านม่านลมไหว
แม้นเหลียวหายากดีไม่มีใคร
วอนรู้ไว้ว่ายังอยู่ข้างกาย

คือสายลมเรื่อยโรยมาโชยแผ่ว
เป็นสายน้ำสายแน่วไม่แผ่วสาย
คือทางเถื่อนทอดหว่างหนทางไกล
เป็นทางดินทอดไว้ให้เจ้าเดิน ฯ

@ บนทางเดิน,เธอและฉัน

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

ในความผูกพันเราพบกันเสมอ

ก่อนที่แสงดาวเดือนจะเลือนลับ
พริ้มตาหลับกับภวังค์ในคว้างหวัง
ตรงสุดขอบฟ้านั้นช่างเลือนราง
เป็นหมอกฝันพร่าจางหรือพรางควัน

คล้ายคืนวันผ่านมาไม่คลาเคลื่อน
ยังยิ้มรับการมาเยือนย้อนรอยหยัน
ข้ามคุ้งคืนกล้ำกลืนสิ่งใดกัน
หากมิใช่ซากฝันกับวันเยาว์

เราอาจ..เอื้อมดาวต่างดวง
และหลงคว้าภาพลวงด้วยความเขลา
เราอาจ..มองจ้องกระจกเงา
และเห็นภาพตัวเราเป็นอีกคน

ทิ้งร่องรอยก้าวย่างยิ่งห่างออก
คล้ายจักบอกความจริงยิ่งสับสน
มีบ้างไหมในหว่างทางจรดล
ที่สงสัยเที่ยวค้นสิ่งใดกัน

ก่อนที่แสงดาวเดือนจะเลือนจาก
ซุกความหมายหลายหลากในซากฝัน
ในความจริงนิ่งเตือนเหมือนเลือนกัน
ในความผูกพันเราพบกันเสมอมา ฯ

@ จี-รา ในบางบทเพลง.. (๕) เพราะเราต่างเอื้อมดาวกันคนละดวง

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

เพียงสายลมไหว

๏ เพียงชั่วใบไม้วูบไหว
สัมผัสโลมไล้กระเส่าสั้น
กายสอดกอดรัดกำนัล
กระสันกำสรวลครวญระงม

หลุดลอยริกลิ่วปลิวคว้าง
พลิกร่างพลางควานหวานขม
ลิ้มรสหฤหรรษ์ภิรมย์
เสพสมเกษมกำหนัด

รุนแรงโอนอ่อนผ่อนเบา
รุกเร้ารางเลือนเชือนชัด
ต้อยตามข้ามคืนขืนขัด
กอดรัดกายสอดพลอดพนอ

ครั้นหมอกพร่ารางจางหาย..
สุดสายพิษวาสอนาถหนอ
พลิกร่างคว้างหาน้ำตาคลอ
แล้ว..สายลมก็ชะลอชลนัยน์ ฯ

@ จี-รา ในบางบทเพลง.. (๔) เพียงชั่วใบไม้ไหว